เมื่อผู้ป่วยมะเร็งต้องเผชิญกับกระบวนการรักษาที่หนักหน่วงอย่างเคมีบำบัดหรือรังสีบำบัด ผลข้างเคียงที่พบได้บ่อยคือแผลในปาก (Oral Mucositis) ซึ่งดูเหมือนจะเป็นปัญหาเล็กน้อย แต่ในความเป็นจริงแล้ว กลับส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย ทั้งด้านโภชนาการ จิตใจ และความต่อเนื่องของการรักษา
บทนำ: เพราะเหตุใดแผลในปากจึงต้องดูแลอย่างจริงจัง? การรักษามะเร็งมักทำลายทั้งเซลล์มะเร็งและเซลล์ปกติที่แบ่งตัวเร็วในร่างกาย ซึ่งรวมถึงเยื่อบุช่องปาก ทำให้เกิดแผลที่เจ็บปวด ผู้ป่วยที่มีแผลในปากมักจะรับประทานอาหารไม่ได้ น้ำหนักลด ภูมิคุ้มกันต่ำลง ส่งผลกระทบต่อกลไกการฟื้นฟูและการตอบสนองต่อการรักษาในระดับเซลล์อย่างมีนัยสำคัญ ทำให้ร่างกายอ่อนแอและเสี่ยงต่อการติดเชื้อรุนแรง การฟื้นตัวของร่างกายจึงช้าลง และอาจต้องหยุดชะงักการรักษา ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ไม่ควรละเลยในการวางแผนการรักษาทางคลินิก นอกจากนี้จากการศึกษาทางคลินิกหลายฉบับยังชี้ให้เห็นว่า การดูแลแผลในปากอย่างเหมาะสมตั้งแต่ระยะเริ่มต้นมีส่วนช่วยลดระยะเวลาพักรักษาตัวในโรงพยาบาลและเพิ่มโอกาสในการรักษาโรคมะเร็งได้สำเร็จอย่างมีนัยสำคัญอีกด้วย
- แผลในปากส่งผลอย่างไรต่อสุขภาพผู้ป่วย?
- ขาดสารอาหาร: อาการเจ็บปวดขณะกลืนอาหาร ส่งผลให้ผู้ป่วยกินอาหารได้น้อยลง ซึ่งจะนำไปสู่การขาดโปรตีนที่จำเป็นต่อกระบวนการสร้างและซ่อมแซมเซลล์ใหม่ อันเป็นกลไกสำคัญในการฟื้นตัวของร่างกาย ทั้งนี้โปรตีนยังมีบทบาทในการสร้างเอนไซม์และสารภูมิคุ้มกันต่างๆ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้ป่วยจะต้องได้รับในปริมาณเพียงพอ
- ภูมิคุ้มกันต่ำ: เนื่องจากกระบวนการรักษาด้วยเคมีบำบัดหรือรังสีบำบัดมีผลข้างเคียงที่ทำให้ร่างกายอ่อนแอ ส่งผลให้ภูมิคุ้มกันลดต่ำลง จึงเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ โดยเฉพาะการติดเชื้อราในช่องปากและระบบทางเดินอาหาร ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้
- กระทบต่อจิตใจ: ความทุกข์จากอาการเจ็บปวดเรื้อรังในช่องปาก ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกหมดกำลังใจ ไม่อยากรักษาต่อ ความเครียดและภาวะซึมเศร้าที่เกิดขึ้นจะยิ่งส่งผลเสียต่อระบบภูมิคุ้มกันและความร่วมมือในการรักษา
- ความเสี่ยงที่ต้องเลื่อนการรักษา: หากแผลในปากมีความรุนแรงจนทำให้ผู้ป่วยไม่สามารถรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำได้อย่างเพียงพอ แพทย์อาจจำเป็นต้องเลื่อนการให้คีโมหรือลดขนาดยา ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อประสิทธิผลของการรักษาโดยรวม และอาจลดโอกาสในการควบคุมโรคได้สำเร็จ
- PVP Gel ตัวช่วยที่ผู้ป่วยมะเร็งควรมีติดบ้าน PVP Gel เป็นเจลทางการแพทย์ที่มีส่วนประกอบหลักคือโพลีไวนิลไพโรลิโดน (Polyvinylpyrrolidone) ซึ่งสามารถสร้างฟิล์มเคลือบบนแผลในช่องปากได้ทันทีที่ใช้ ทำหน้าที่เป็นเหมือนเกราะบาง ๆ ที่ช่วย:
- ปกป้องแผลจากสิ่งระคายเคือง เช่น อาหาร น้ำลาย และอากาศ
- ลดความรู้สึกเจ็บและแสบร้อน ทำให้สามารถทานอาหารได้ดีขึ้น
- ช่วยให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารได้เพียงพอเพื่อฟื้นตัวและพร้อมรับการรักษาครั้งต่อไป
วิธีใช้ PVP Gel:
- กลั้วปากด้วย PVP Gel ปริมาณ 15 มิลลิลิตร เป็นเวลา 3-5 นาที
- สามารถกลืนได้หากมีแผลลึกในลำคอ หรือบ้วนทิ้งตามความสะดวก
- ใช้วันละ 4 ครั้ง ก่อนอาหารและก่อนนอน
- หลังกลั้ว รอ 15 นาที แล้วจึงรับประทานอาหาร
- Immunex FOS พรีไบโอติกเพื่อเสริมภูมิคุ้มกันและการฟื้นฟู ผู้ป่วยมะเร็งที่มีแผลในปากมักมีปัญหาท้องผูกจากการรับประทานอาหารที่ลดลงและการใช้ยา การขับถ่ายที่ไม่ปกติทำให้ลำไส้ไม่สะอาด ร่างกายอ่อนแอ Immunex FOS จึงเป็นตัวช่วยสำคัญที่:
- เพิ่มปริมาณจุลินทรีย์ดีในลำไส้
- ลดอาการท้องผูก ทำให้ผู้ป่วยขับถ่ายได้เป็นปกติ
- ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโดยไม่ก่อให้เกิดการรบกวนการรักษาหลัก
- ปลอดภัย แม้ในผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ
- โภชนาการและการดูแลอื่น ๆ ที่ควรปฏิบัติ
- เน้นอาหารโปรตีนสูง เช่น ไข่ ไก่ นม ปลา เพื่อช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอจากการรักษา
- ดื่มน้ำสะอาดวันละ 2-3 ลิตร เพื่อให้ร่างกายชุ่มชื้น
- รักษาความสะอาดในช่องปากด้วยน้ำเกลือ และใช้แปรงขนอ่อน
- พักผ่อนเพียงพอและมีจิตใจที่เข้มแข็ง
อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ PVP Gel คู่มือฉบับสมบูรณ์สำหรับผู้ป่วยมะเร็ง
อ่านต่อใน Immunex FOS ดีอย่างไรกับระบบทางเดินอาหารและภูมิคุ้มกันของผู้ป่วยมะเร็ง
ปรึกษาเภสัชกรของเราได้ทันที ไม่มีค่าใช้จ่าย
- LINE Official: @genkihouses
- เว็บไซต์: www.genkihouses.com
- รับสิทธิ์รับ Immunex FOS ฟรี! เพียงสั่งซื้อวันนี้!
- คลิกที่นี่เพื่อหยุดความเจ็บปวดจากแผลในปากทันที!
E-book ‘สู้มะเร็งไปด้วยกัน’ รวบรวมเคล็ดลับจากผู้ป่วยมะเร็งที่ผ่านการรักษาสำเร็จ พร้อมคำแนะนำจากเภสัชกรในการดูแลตัวเองระหว่างการรักษามะเร็ง ทั้งเรื่องอาหาร การออกกำลังกาย และการดูแลจิตใจ เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถไปถึงจุดเส้นชัยของการรักษาได้อย่างดีที่สุด