เคสจริงที่แผลกดทับหายยาก – เพราะละเลยการป้องกันแต่แรก
บทนำ: บทเรียนราคาแพงจากการ “มองข้าม” การป้องกัน
“ตอนแรกแค่รอยแดงที่ก้น แต่เราไม่คิดว่าจะลุกลามได้ขนาดนี้” – เสียงสะท้อนจากลูกสาวผู้ดูแลคุณพ่อวัย 82 ปีที่ต้องเผชิญแผลกดทับระดับ 3 ภายในเวลาไม่ถึง 3 สัปดาห์
เคสนี้ไม่ใช่เรื่องไกลตัว แต่คือสิ่งที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าในหลายครอบครัว
บทความนี้จะพาไปดูว่า อะไรคือจุดเปลี่ยน ที่ทำให้แผลเล็กๆ กลายเป็นแผลลึกที่ต้องรักษานานหลายเดือน และจะทำอย่างไรให้ “ไม่ต้องเจอแบบนี้อีก”
เคสตัวอย่าง: แผลลุกลามในผู้ป่วยที่พึ่งเริ่มติดเตียง
ข้อมูลเบื้องต้นของเคส:
- ผู้ป่วยชาย อายุ 82 ปี อัมพฤกษ์ซีกซ้ายหลังเส้นเลือดในสมองตีบ
- เริ่มติดเตียงช่วงเดือนแรกหลังออกจากโรงพยาบาล
- ใช้ผ้าอ้อมสำเร็จรูป เปลี่ยนทุก 6–8 ชั่วโมง
- ไม่มีการใช้ที่นอนลมหรือสเปรย์ปกป้องผิว
- เริ่มมีรอยแดงบริเวณก้นกบในสัปดาห์ที่ 2
→ หลังจากนั้น 2 สัปดาห์ แผลลึกจนเห็นเนื้อแดง และมีน้ำเหลืองซึม
ค่าใช้จ่ายโดยประมาณ:
รายการ | ค่าใช้จ่ายต่อเดือน |
---|---|
วัสดุทำแผล (แผ่นซับ, น้ำเกลือ, ยา) | 5,000–7,000 บาท |
ค่าเดินทางไปทำแผล รพ.สัปดาห์ละ 3 ครั้ง | 3,000 บาท |
ค่าจ้างพยาบาลพิเศษ (ถ้ามี) | 5,000–10,000 บาท |
💸 รวมเฉลี่ยต่อเดือน: 10,000–20,000 บาท
⏳ ระยะเวลารักษาแผล: นานกว่า 3 เดือน
อะไรคือจุดผิดพลาดหลักในเคสนี้?
- มองว่าผู้ป่วยยังไม่ “ป่วยหนัก” จึงไม่เริ่มป้องกัน
- หลายคนเข้าใจว่าแผลกดทับเกิดเฉพาะกับผู้ที่ติดเตียงเป็นปี
- ความจริงคือ “เพียงแค่ 2–3 วันไม่ได้พลิกตัว” ก็เริ่มเกิดรอยแดงได้แล้ว
- ใช้ผ้าอ้อมนานเกินไปโดยไม่เปลี่ยน
- ความเปียกชื้นสะสมร่วมกับความร้อนและแรงกดทับ = จุดเริ่มต้นของแผล
- ไม่ใช้ผลิตภัณฑ์เคลือบผิวอย่าง Mildvy Spray
- หากใช้ตั้งแต่แรก ความชื้นจะไม่สัมผัสผิวหนังโดยตรง
- ฟิล์มบางที่เคลือบผิวช่วยลดการระคายเคืองและแรงเสียดสีได้อย่างมาก
- ไม่มีระบบพลิกตัวหรือหมอนรองกดจุดเสี่ยง
- ทำให้บริเวณก้นกบรับน้ำหนักซ้ำที่จุดเดิมโดยไม่มีการถ่ายเท
เมื่อแผลลึก…การดูแลจะซับซ้อนขึ้นทันที
- ต้องแยกผ้าปูเตียง / ผ้าเช็ดตัวเฉพาะผู้ป่วย เพื่อป้องกันเชื้อ
- ต้องเรียนรู้เทคนิคทำแผล หรือเสียค่าใช้จ่ายจ้างพยาบาล
- ความเจ็บปวดทำให้ผู้ป่วยนอนไม่หลับ และมักมีอารมณ์หงุดหงิด
- ผู้ดูแลเองรู้สึกผิด หวาดระแวง และหมดแรงทั้งกายใจ
❗ กว่าผู้ป่วยจะหาย บางครอบครัวถึงขั้นหมดกำลังใจ
ถ้ากลับไปได้…ผู้ดูแลเคสนี้บอกว่าอยากเริ่มจากสิ่งเล็กๆ
“แค่นวดบ่อยขึ้น พลิกตัวทุก 2 ชม. ใช้สเปรย์เคลือบผิว พวกนี้ไม่ได้เสียเงินเยอะเลย แต่มันน่าจะช่วยให้ไม่ต้องเจ็บแบบนี้”
สิ่งที่เธอทำในตอนนี้ คือ เปลี่ยนแนวทางการดูแลอย่างสิ้นเชิง
โดยเริ่มใช้ทั้ง Mildvy Spray และ Immunex FOS ควบคู่กันในระยะฟื้นฟู
บทเรียนสำคัญ: “ป้องกันไว้ ดีกว่ารักษาอย่างยากลำบาก”
ข้อเปรียบเทียบ | ก่อนแผล | หลังมีแผล |
---|---|---|
เวลาในการดูแล | 20 นาที/วัน | 1–2 ชม./วัน |
ค่าใช้จ่าย | ~2,000 บาท/เดือน | ~15,000 บาท/เดือน |
อารมณ์ผู้ป่วย | ปกติ | หงุดหงิด/ซึมเศร้า |
สุขภาพผิว | เรียบเนียน | เป็นแผลลึก/มีพังผืด |
ความมั่นใจของครอบครัว | สูง | ลดลง/เครียด |
แนวทางป้องกันที่ควรเริ่มทันที
- ✅ Mildvy Spray: ฉีดสเปรย์หลังล้างผิวแห้ง วันละ 2–3 ครั้ง
- ✅ เปลี่ยนผ้าอ้อมทันที เมื่อเปียกหรือขับถ่าย
- ✅ วางระบบพลิกตัว และใช้หมอนรองตามจุดเสี่ยง
- ✅ เสริมพรีไบโอติกอย่าง Immunex FOS เพื่อป้องกันท้องผูก
- ✅ วางแผนอาหารที่มีโปรตีนเพียงพอ
อ่านเพิ่มเติม :
สรุป
แผลกดทับไม่ใช่เรื่องเล็ก และไม่มีใครอยากให้เกิด
เคสนี้ยืนยันได้ว่า การละเลยการป้องกันตั้งแต่แรก ส่งผลกระทบอย่างหนักทั้งร่างกาย จิตใจ และการเงินของครอบครัว
หากคุณยังลังเลที่จะเริ่มดูแลด้วยวิธีป้องกันที่เหมาะสม
จำไว้ว่าการเริ่มต้นวันนี้ ด้วยต้นทุนไม่กี่ร้อย อาจช่วยหลีกเลี่ยงปัญหานับหมื่นในอนาคต
📦 สนใจชุดดูแลป้องกันแผลกดทับ 📞 065-2054689
📲 สั่งซื้อผ่าน LINE: @genkihouses
🌐 หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ www.genkihouses.com
#แผลกดทับ #ดูแลผู้ป่วยติดเตียง #ป้องกันดีกว่ารักษา #MildvySpray #ImmunexFOS #GenkiHouse