เมื่อผู้ป่วยมะเร็งต้องเผชิญกับการรักษาด้วยเคมีบำบัดหรือรังสีรักษา ร่างกายไม่ได้รับผลกระทบเพียงเฉพาะเซลล์มะเร็ง แต่ยังส่งผลต่อเซลล์ปกติ รวมถึงสมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้ ทำให้เกิดปัญหาทางระบบย่อยอาหาร ท้องผูก ภูมิคุ้มกันต่ำ และเสี่ยงต่อการติดเชื้อง่าย การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ช่วยดูแลสุขภาพลำไส้จึงเป็นสิ่งสำคัญ แต่การเลือกระหว่าง Prebiotic และ Probiotic ไม่ใช่เพียงการเลือกตามกระแสนิยม หากต้องใช้ความเข้าใจเชิงวิชาการและความปลอดภัยสำหรับผู้ป่วยที่ร่างกายอ่อนแอ
Prebiotic คืออะไร? Prebiotic คือเส้นใยอาหารที่ไม่ถูกย่อยในกระเพาะอาหาร แต่จะเป็นอาหารให้กับจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ในลำไส้ เช่น Bifidobacteria และ Lactobacillus ตัวอย่างของพรีไบโอติกที่พบได้ทั่วไปได้แก่ ฟรุกโตโอลิโกแซ็กคาไรด์ (FOS), อินูลิน (Inulin) และกาลักโตโอลิโกแซ็กคาไรด์ (GOS) การได้รับพรีไบโอติกช่วยให้แบคทีเรียดีเจริญเติบโต ส่งผลให้ลำไส้แข็งแรง มีการผลิตกรดไขมันสายสั้น (Short-chain fatty acids) เช่น บิวไทเรต (Butyrate) ที่ช่วยบำรุงผนังลำไส้และเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
Probiotic คืออะไร? Probiotic คือจุลินทรีย์มีชีวิตที่เมื่อรับประทานเข้าไปในปริมาณที่เหมาะสม จะให้ประโยชน์ต่อร่างกาย โดยช่วยเพิ่มปริมาณจุลินทรีย์ที่ดีในลำไส้ ปรับสมดุลไมโครไบโอม และยับยั้งเชื้อที่เป็นอันตราย อย่างไรก็ตาม โปรไบโอติกมีความอ่อนไหวสูง และมีข้อจำกัดในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เช่น ผู้ป่วยมะเร็งที่กำลังรับการรักษา เพราะอาจมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อในกรณีที่จุลินทรีย์เข้าสู่กระแสเลือด
ทำไมผู้ป่วยมะเร็งควรเลือก Prebiotic มากกว่า Probiotic?
- ความปลอดภัย: พรีไบโอติกเป็นเส้นใยที่ร่างกายไม่ย่อย แต่แบคทีเรียที่มีอยู่แล้วในร่างกายสามารถใช้ได้ จึงไม่เสี่ยงต่อการติดเชื้อจากภายนอก ซึ่งในผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง ความปลอดภัยจากการใช้พรีไบโอติกนั้นได้รับการยืนยันจากการศึกษาทางคลินิกหลายชิ้นที่ตีพิมพ์ในวารสารนานาชาติ
- การทำงานอย่างเป็นธรรมชาติ: พรีไบโอติกช่วยเลี้ยงแบคทีเรียดีที่มีอยู่เดิม ทำให้การฟื้นฟูสมดุลในลำไส้เกิดขึ้นอย่างยั่งยืนและสอดคล้องกับการทำงานของร่างกายตามกลไกชีววิทยา ไม่ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อความไม่สมดุลของจุลชีพ (dysbiosis) ที่อาจเกิดขึ้นได้จากการใช้โปรไบโอติก
- การเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน: การที่ลำไส้มีจุลินทรีย์ดีจำนวนมาก จะกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันผ่านกลไกที่ได้รับการพิสูจน์แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการผลิตสารยับยั้งเชื้อโรค การกระตุ้นการสร้างเซลล์เม็ดเลือดขาว หรือการสร้างเยื่อบุลำไส้ที่แข็งแรง ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับผู้ป่วยที่ต้องฟื้นฟูร่างกายระหว่างคีโมและรังสีบำบัด
บทบาทของ Immunex FOS Immunex FOS เป็นผลิตภัณฑ์พรีไบโอติกที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อผู้ป่วยที่ต้องการดูแลสุขภาพลำไส้และเสริมภูมิคุ้มกัน มีส่วนผสมหลักคือ ฟรุกโตโอลิโกแซ็กคาไรด์ (FOS) และแร่ธาตุที่จำเป็น เช่น Zinc และ Selenium ซึ่งช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกัน และยังไม่มีน้ำตาล เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่ต้องควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด การรับประทาน Immunex FOS วันละ 1-2 ซอง ผสมในน้ำหรืออาหาร ช่วยลดอาการท้องผูก ดูแลสุขภาพลำไส้ และเสริมสร้างภูมิคุ้มกันได้อย่างปลอดภัย
การใช้ PVP Gel ควบคู่กับการดูแลลำไส้ ผู้ป่วยมะเร็งที่มีแผลในปากจากเคมีบำบัดหรือรังสีรักษา ควรใช้ PVP Gel ในการบรรเทาอาการเจ็บแผลในช่องปาก เจลนี้จะสร้างฟิล์มบาง ๆ เคลือบแผล ลดการระคายเคืองจากอาหาร น้ำลาย และสิ่งกระตุ้นภายนอก การใช้ PVP Gel อย่างต่อเนื่องก่อนและหลังมื้ออาหาร รวมถึงก่อนนอน จะช่วยปกป้องเยื่อบุช่องปากอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมกับการเสริมพรีไบโอติก Immunex FOS เพื่อสร้างสมดุลในร่างกายจากภายใน นอกจากนี้ยังช่วยลดความเสี่ยงของการติดเชื้อในระบบทางเดินอาหาร และช่วยให้ผู้ป่วยสามารถรับประทานอาหารได้ดีขึ้น ฟื้นตัวได้เร็วขึ้น และพร้อมสำหรับการรักษาในรอบถัดไป
ข้อควรระวังสำหรับผู้ป่วย
- หลีกเลี่ยงการเลือกโปรไบโอติกที่ไม่ได้มาตรฐาน เพราะอาจมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ
- หมั่นสังเกตอาการ หากมีอาการท้องอืด แน่นท้อง หรือแพ้ ควรหยุดใช้และปรึกษาแพทย์ทันที
- การดื่มน้ำให้เพียงพอควบคู่ไปด้วยจะช่วยให้การทำงานของพรีไบโอติกและลำไส้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
อ่านเพิ่มเติม: คู่มือจัดการปัญหาท้องผูกในผู้ป่วยมะเร็ง
สามารถศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับ PVP Gel และการดูแลแผลในปากได้ที่ บรรเทาอาการแผลในปากด้วย PVP Gel คู่มือฉบับสมบูรณ์สำหรับผู้ป่วยมะเร็งในประเทศไทย
ปรึกษาเภสัชกรของเราได้ทันที ไม่มีค่าใช้จ่าย!
LINE Official: @genkihouses
เว็บไซต์: www.genkihouses.com
“รับสิทธิ์รับ Immunex FOS ฟรี! เพียงสั่งซื้อวันนี้!”
“คลิกที่นี่เพื่อหยุดความเจ็บปวดจากแผลในปากทันที!”
E-book ‘สู้มะเร็งไปด้วยกัน’ รวบรวมเคล็ดลับจากผู้ป่วยมะเร็งที่ผ่านการรักษาสำเร็จ พร้อมคำแนะนำจากเภสัชกรในการดูแลตัวเองระหว่างการรักษามะเร็ง ทั้งเรื่องอาหาร การออกกำลังกาย และการดูแลจิตใจ เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถไปถึงจุดเส้นชัยของการรักษาได้อย่างดีที่สุด